เคล็บลับง่ายๆ ทำความสะอาดประตูบ้านให้สวยวิ้ง

ประตูไม้ = เอาผ้าชุบน้ำยา แล้วขัดให้ทั่วประตู ซึ่งน้ำยานี้ จะช่วยให้ประตูไม้มีความเงางามเหมือนใหม่ อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ประตูเกิดเชื้อราได้อีกด้วยในส่วนของ ลูกบิดประตูนั้น ก็ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบแอลกอฮอล์เช็ดให้ทั่ว เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว

ประตู PVC = โดยการใช้แอลกอฮอล์ที่ใช้สำหรับล้างแผลหรือน้ำมันก๊าดใส่ขวดสเปรย์ที่ไม่ใช้แล้ว ฉีดพ่นบริเวณคราบรอยดำ หรือสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ เสร็จแล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที พอได้เวลาแล้ว ก็เอาผ้าแห้งขัดรอยออก คราบรอยดำต่างๆ ก็จะจางหายไปได้มากเลยทีเดียว อีกวิธีหนึ่งคือ การใช้น้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์ ที่หาซื้อได้ง่าย ตาม ร้านสะดวกซื้อทั่วไป นำมาเช็ดทำความสะอาดก็ได้ผลดี หรือถ้าหากเห็นว่า มีเชื้อราเกาะอยู่ที่ประตู ก็ใช้น้ำยาสำหรับฆ่าเชื้อราเช็ดอีกทีก็ได้

6 จุด ที่ห้ามใช้ “น้ำส้มสายชู” ทำความสะอาด

1.เคาน์เตอร์ที่ทำจากหินแกรนิตและหินอ่อน กรดในน้ำส้มสายชูสามารถกัดกร่อนหินตามธรรมชาติได้ ดังนั้นเวลาจะทำความสะอาดเคาน์เตอร์ห้องครัว ห้องน้ำที่เป็นหินแกรนิตหรือหินอ่อนให้ใช้ผงซักฟอกผสมน้ำอุ่นแทน

2.พื้นกระเบื้องที่ทำจากหิน เหตุผลก็เช่นเดียวกับเคาน์เตอร์หินแกรนิตและหินอ่อน เพราะกรดจะกัดกร่อนหินออกไป ดังนั้นควรใช้สบู่ที่ใช้ทำความสะอาดหินโดยเฉพาะ หรือจะใช้น้ำยาล้างจานผสมกับน้ำและทำความสะอาดแทนก็ได้

3.คราบไข่ ถ้าคุณทำไข่หกลงบนพื้น ห้ามนำน้ำส้มสายชูไปเช็ดทำความสะอาดเพราะมันจะยิ่งทำให้คราบไข่เกาะตัวและแข็งตัว ทำความสะอาดได้ยากยิ่งขึ้น

4.เตารีด น้ำส้มสายชูสามารถทำลายส่วนภายในของเตารีดได้ ดังนั้นจึงห้ามเทน้ำส้มสายชูลงไปโดยตรงและทำความสะอาด เพื่อให้เตารีดสะอาดหลังการใช้ควรทำความสะอาดมันตามคำแนะนำจากคู่มือการใช้งาน

5.พื้นไม้เนื้อแข็ง บางคนบอกว่าน้ำส้มสายชูทำให้พื้นบ้านไม้สะอาด แต่เราอยากแนะนำว่าให้ใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดพื้นไม้โดยเฉพาะจะเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณอยากจะใช้น้ำส้มสายชูจริงๆ ควรเจือจางน้ำส้มสายชูด้วยน้ำก่อน แล้วลองทดสอบกับจุดที่ไม่เด่นนัก

6.คราบฝังแน่น จุดด่าง คราบสกปรกและรอยเปื้อนประเภทหมึก คราบเลือดก็ไม่สามารถใช้น้ำส้มสายชูทำความสะอาดได้ ดังนั้นคุณอาจใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดคราบเหล่านี้โดยตรง โดยเฉพาะผงซักฟอกที่มีเอ็นไซม์

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : popularmechanics และ sanook

ขอบคุณรูปภาพจาก :  mheemhee.com

การดูแลพื้นบ้าน

เคล็ดลับในการทำความสะอาดพื้นอย่างถูกวิธี เพื่อให้พื้นบ้านสวยและคงทนยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างลองมาดูกันเลย

หลังขัดพื้นนำแผ่นผ้าสักหลาดที่ใช้ขัดพื้นไปวางซ้อนระหว่างกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วใช้เตารีดนาบลงไป เพื่อดูดซับความเหนียวจากแว็กซ์ขัดพื้นก่อน ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้ขจัดคราบเหนียวจากแผ่นรองขาเฟอร์นิเจอร์ได้ด้ว

พื้นโรงรถ จัดการกับคราบน้ำมันที่หยดอยู่บนพื้นได้ด้วยการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปูทับลงบนคราบนั้น จากนั้นราดน้ำให้กระดาษหนังสือพิมพ์ชื้นแล้วกดลงบนพื้นให้แน่น ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วนำกระดาษหนังสือพิมพ์ออก

ขัดพื้นเร็วทันใจ คุณคงเบื่อที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ เวลาขัดพื้นแล้วใช่ไหม ลองใช้กระดาษไขสำหรับขัดเงาแซมไปกับผ้าถูพื้น ซึ่งจะทำให้ฝุ่นติดกับผ้าถูพื้นง่ายขึ้น และกระดาษไขก็จะทำหน้าที่ขัดพื้นไปพร้อม ๆ กันด้วย

ป้องกันพื้นเป็นรอย เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนักมากจนต้องใช้วิธีเลื่อนแทนการยกนั้นอาจทำให้พื้นเป็นรอยได้ ลองใช้ถุงเท้าเก่า ๆ หุ้มขาเฟอร์นิเจอร์เอาไว้ก่อนจะเคลื่อนย้ายสิ จะได้ช่วยป้องกันได้

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมโรค

การทำความสะอาดบ้านในจุดใหญ่ๆ ช่วยให้บ้านของเราดูสะอาด เรียบร้อย น่ามอง แต่ความจริงยังมีจุดสกปรกเล็กๆ ที่ถูกมองข้ามจนเกิดเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคในที่สุด โดยเฉพาะฝุ่น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้นมาดูกันว่าจุดเหล่านี้มีที่ไหนบ้าง

1.สวิตช์ไฟ

การที่เราสัมผัสกับสวิตช์ไฟหลายๆ ครั้งโดยไม่เคยทำความสะอาด ทำให้กลายเป็นจุดที่มีเชื้อโรคสะสมอยู่เพียบ เพียงแต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงมากถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคไปสู่บุคคลอื่นๆ จากการสัมผัสอีกด้วย ซึ่งเราสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้โดยฉีดแอลกอฮอล์ลงบนผ้า แล้วนำไปเช็ดสวิตช์ไฟให้ทั่ว ก่อนจะนำผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกรอบ เท่านี้ก็ช่วยให้สวิตช์ไฟปราศจากเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก

2.ก๊อกน้ำ

ก๊อกน้ำเป็นอีกหนึ่งจุดสกปรกในบ้าน ที่หลายคนมักลืมทำความสะอาด ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย เราสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เพียงแค่เช็ดด้วยน้ำร้อนหรือน้ำสบู่แล้วล้างออก หรือถ้าอยากเพิ่มความเงางาม ให้ขัดด้วยเบกกิ้งโซดาผสมน้ำมะนาว ก็ทำให้ก๊อกน้ำกลับมาสะอาดเงางามได้เหมือนกัน

3.ม่านห้องน้ำ

ม่านในห้องน้ำไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือผ้าก็มีโอกาสเกิดเชื้อราได้ง่าย เนื่องจาก อากาศอบอ้าวและมีความชื้นสูง ซึ่งนอกจากจะไม่น่าใช้งานแล้ว เชื้อรายังเป็นพิษต่อร่างกาย หากมีการปนเปื้อนไปในอาหาร ซึ่งพิษจากเชื้อรามักจะเป็นอันตรายต่อระบบต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดี

หากผ้าม่านที่เป็นผ้า สามารถถอดซักรวมกับผ้าอื่นได้เลย จากนั้นให้ตากแดดจัด เพื่อกำจัดเชื้อรา แต่หากเป็นม่านพลาสติกให้ใช้เบกกิ้งโซดาถูบริเวณที่เป็นเชื้อราออกก่อน แล้วจึงนำไปปั่นในเครื่องซักผ้าร่วมกับผ้าขนหนูเก่า ๆ สักผืน โดยไม่ต้องใส่ผงซักฟอก แต่ให้ใส่น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยลงไปแทน เมื่อเครื่องซักเสร็จให้รีบนำออกมาตากแดดให้แห้ง โดยที่ไม่ต้องปั่นแห้ง เท่านี้คราบเชื้อราต่างๆ ก็จะหายไป

4.ลูกบิดประตู

มือจับประตูและลูกบิดคือจุดอันตรายจากเชื้อโรคอีกจุดหนึ่งที่ถูกมองข้าม โดยเชื่อว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของเชื้อโรคอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมือจับประตูและลูกบิดประตูบ้าน ซึ่งการหมั่นล้างมือและเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง เป็นการช่วยทำให้มือจับประตูและลูกบิดปราศจากเชื้อโรคได้

5.ราวจับบันได

เช่นเดียวกับลูกบิดประตู เนื่องจากผู้อยู่อาศัยต้องสัมผัสกับราวจับบันไดทุกวัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยพยุงตัว การเช็ดราวจับบันไดให้สะอาด นอกจากจะสวยงามน่ามองยังป้องกันเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย ส่วนการทำความสะอาดสามารถทำได้โดยผสมน้ำร้อนและน้ำส้มสายชูเข้าด้วยกัน จากนั้นนำผ้าจุ่มแล้วบิดออกให้ผ้าเปียกหมาดๆ นำไปเช็ดราวบันได แล้วใช้ผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกครั้ง

6.ต้นไม้ในบ้าน

ไม่ว่าจะต้นไม้จริงหรือต้นไม้ปลอม ใบไม้ก็เป็นแหล่งสะสมฝุ่นและสิ่งสกปรก โดยเฉพาะต้นไม้ที่อยู่ในห้องนอน เพราะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง โดยโรคภูมิแพ้ชนิดใดที่พบบ่อยมากที่สุดในประเทศไทย คือ โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ (โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ ร้อยละ 23-50 และโรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหืด ร้อยละ 10-15) เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดที่พบบ่อยมากที่สุดในประเทศไทยและเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ซึ่งภายในระยะเวลา 20 ปี ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มมากถึง 3-4 เท่า

สำหรับการทำความสะอาดต้นไม้จริงให้ยกไปฉีดน้ำล้างสิ่งสกปรกออกได้เลย แต่ถ้าเกิดว่าต้นไม้มีขนาดใหญ่เกินไป ก็ให้นำผ้าไมโครไฟเบอร์มาเช็ดทำความสะอาดทีละใบแทน ส่วนต้นไม้ปลอมก็สามารถทำความสะอาดได้ง่ายๆ โดยการใช้ไดร์เป่าผมเป่าฝุ่นออก ที่สำคัญอย่าลืมคาดผ้าปิดปากปิดจมูกป้องกันฝุ่นละออง

7.ถังขยะ

ต่อให้กำจัดขยะออกจากถังขยะแทบทุกวัน แต่แบคทีเรียและกลิ่นเหม็นก็ยังคงตกค้างและสะสมอยู่ในถังขยะได้ ฉะนั้นทางที่ดีอย่าลืมล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อพร้อมกับขัดสิ่งสกปรกออก รับรองว่าเชื้อโรคและกลิ่นในถังขยะหายเกลี้ยงแน่นอน

8.มุ้งลวด มู่ลี่

เป็นแหล่งสะสมฝุ่นเพราะทำความสะอาดยาก อีกทั้งโดยมากมักจะถูกมองข้ามเพราะไม่จำเป็น สำหรับมุ้งลวดทำความสะอาดได้โดยราดด้วยน้ำสบู่แล้วใช้แปรงขัดออก ก่อนนำไปผึ่งให้แห้ง ในระหว่างนี้ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรางมุ้งลวดให้สะอาด ส่วนฝุ่นบนมูลี่ก็กำจัดได้โดยใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ละซี่ จากนั้นใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำอีกรอบ เผื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำ

9.เฟอร์นิเจอร์

มักพบสารเคมีอันตรายประเภทฟอร์มัลดีไฮด์ เนื่องจากสารชนิดนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมสี กาว และสารเคลือบเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม้อัด และไม้แปรรูปอื่นๆ ไอระเหยของสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่แฝงอยู่สิ่งเหล่าเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย หากได้รับสารระเหยในจำนวนน้อย อาจเกิดอาการระคายเคืองได้ เช่น แสบตาหรือแสบจมูก แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดผลเสียกับระบบร่างกายต่างๆ หรือก่อให้เกิดมะเร็งได้ ผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือตรวจสอบเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมากับบ้านว่า มีคำเตือนถึงการใช้สารฟอร์มัลดีไฮด์ และได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่ เพื่อสุขภาวะที่ดีในการพักอาศัย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ddproperty.com

5วิธีการดูแลหลังคาบ้านเบื้องต้น

หลังคาบ้านคือสิ่งที่คุ้มกันบ้านเราจาก แดด ลม ฝน เมื่อผ่านเวลามาหลายปี ทุกอย่างก็ต้องมีวันเสื่อม ต้องเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา มาดู “หลังคา” บ้านของเราสิว่ายังใช้ได้อยู่มั้ย มีรอยร้าว หรือน้ำซึมหรือเปล่า ถ้าอาการเริ่มจะไม่ไม่ดี วันนี้เรามีข้อเเนะนำและวิธีการดูเเลหลังคาบ้านเบื้องต้นมาฝากกันค่ะ
1.ตรวจเช็คว่าการปูกระเบื้องบนหลังคาเป็นระเบียบเรียบร้อยไหม การวางระยะห่างระหว่างกระเบื้องต้องเท่ากัน การปูกระเบื้องหลังคาที่ถูกต้องจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ หากมีกระเบื้องที่เหลื่อมทับซ้อนกันหรือชำรุด ควรรีบแก้ไขโดยทันที เพราะอาจจะทำให้หลังคารั่ว หรือหล่นลงมาได้
2.หลังคาที่ดีต้องไม่มีกระเบื้องที่มีรอยแตกร้าว รอยร้าวเล็กๆอาจทำให้น้ำรั่วซึมเข้ามาได้ และถ้าไม่แก้ไขรอยร้าวอาจจะเพิ่มมากขึ้นจนแตกและหล่นลงมา
3.ส่วนของตัวครอบหลังคาบ้านที่ถูกยึดด้วยปูน ควรอยู่ในสภาพแข็งแรงไม่แตกร้าว
4.หากมีต้นไม้ใหญ่อยู่ใกล้กับหลังคาบ้าน ควรตัดแต่งกิ่งออกสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันกิ่งไม้หล่นใส่หลังคาบ้าน
5.คราบต่างๆ บนหลังคาบ้านอาจก่อให้เกิดเชื้อราได้ ซึ่งจะทำให้หลังคาดูเก่าหมอง เชื้อราเหล่านี้แพร่ได้เร็วมากโดยส่วนมากมักเกิดขึ้นกับหลังคาส่วนที่อยู่ในร่ม หรืออยู่ใกล้ตึกสูง ในบริเวณที่แสงแดดส่องไม่ถึง

3 ขั้นตอนการกำจัดหนูออกไปจากบ้าน

หนู เป็นสัตว์ที่สกปรก ยังเป็นพาหะนำโรคอีกด้วย หลายบ้านจึงต้องกำจัดหนูออกไป วันนี้เราจึงนำไอเดียการกำจัดหนูมาฝากกันกับเรื่อง “3 ขั้นตอนการกำจัดหนูออกไปจากบ้าน”

ขั้นตอนที่ 1 การทำความสะอาด และปิดผนึกข้าวของในบ้าน

1.เก็บรักษาแหล่งอาหารของคุณไว้ในภาชนะโลหะหรือแก้วที่มีฝาปิดแน่นหนา หนูสามารถแทะผ่านกระดาษแข็ง พลาสติกทุกชนิด และภาชนะที่ใช้วัสดุอื่นๆ ได้เพื่อไปกินอาหาร เพื่อลดการจัดเตรียมอาหารให้เหล่าหนู ต้องมั่นใจว่าคุณไม่ได้ลืมวางอาหารทิ้งไว้ หรือหากคุณทำก็ให้เก็บอาหารไว้ในที่ที่หนูไม่สามารถเข้าไปได้

2.ปิดขยะของคุณด้วยถังที่มีฝาปิดสนิท ในนั้นมีอาหารไม่มากที่จะกินได้ คุณจะได้พบหนูเพียงไม่กี่ตัวหากว่าถังขยะคุณอยู่นอกบ้าน สำหรับถังขยะในบ้าน ดูให้ดีว่าถังเหล่านั้นมีฝาที่สามารถปรับและปิดได้อย่างแน่นหนา ที่จะเอาไว้ปิดเวลาไม่ใช้งาน เพราะหนูจะกินอาหารที่คนทำหกไว้

3.จัดการเคาน์เตอร์ อ่างล้างจาน และทุกพื้นผิวในครัวของคุณให้สะอาด อย่าทิ้งจานสกปรกๆ ข้ามคืน และคอยเช็ดทำความสะอาดเคาน์เตอร์เป็นประจำด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดครัวเรือน และน้ำยาฆ่าเชื้อ

4.ปิดทุกช่องทางที่จะเข้ามาในบ้านคุณเท่าที่จะเป็นไปได้ ช่องทางที่เข้าสู่บ้านคุณควรถูกปิดเพื่อไม่ให้หนูเข้ามาในบ้านคุณได้ โดยเริ่มจากการมั่นใจว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้

  • ปิดรอยแตก รู หรือรอยร้าว ด้วยวัสดุที่แข็งแรง อย่างเหล็ก หรือคอนกรีต ตรวจสอบสถานที่ในบ้านของคุณอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อบางส่วนที่หนูอาจเข้ามาได้
  • ปิดท่อ ทางเดินแก๊ส และช่องระบายอากาศ หนูสามารถใช้เส้นทางเหล่านี้เป็นทางเข้ามาในบ้านของคุณ
  • นึกถึงการใส่เหล็กฝอยเข้าไปในท่อหรือช่องลมก่อนจะปิดมัน แผ่นเหล็กฝอยจะป้องกันหนูจากการใช้ช่องเพื่อกลับเข้ามาในบ้านของคุณ สามารถเพิ่มวัสดุพิเศษเพื่อการป้องกันเข้าไปได้อีก หากว่าหนูยังคงมีอยู่เรื่อยๆ และกลับมาได้อีก
  • ปิดทุกอย่างที่อาจเป็นช่องทางเชื้อเชิญให้หนูเข้ามาในบ้านของคุณ หนูสามารถเข้ามาทางรอยแตกหรือรูที่เล็กเท่ากับยางลบปลายดินสอได้ หมายความว่าทุกการครอบคลุมรอยแตกใดๆ ก็ตามจำเป็นต้องสร้างสรรค์ และได้ผลจริง

ขั้นตอนที่ 2 การกำจัดด้วยวิธีทางธรรมชาติ

1.ลองคิดถึงการเลี้ยงแมว หรือสุนัขพันธุ์ แรท เทอเรียร์ วิธีทางธรรมชาติที่นิยมมากที่สุดที่จะทำให้เหล่าประชากรหนูรู้ตัวว่าไม่ได้ถูกรับเชิญคือการเลี้ยงแมว แมวชอบการจับหนู แมวชอบกินหนู ซึ่งหนูไม่ชอบที่จะถูกแมวกิน ตัวจับหนูที่ดีจะขจัดประชากรหนูโดยไม่เสียเวลา และทำให้หนูตัวใหม่ไม่กล้าจะเข้ามา

  • หากคุณเลือกที่จะเลี้ยงแมว กำจัดกับดัก เหยื่อล่อ และยาพิษทั้งหมด ออกจากบ้านของคุณ และเก็บพวกมันให้มิดชิด ของเหล่านี้อาจทำให้แมวคุณป่วยหรือทำให้พวกมันบาดเจ็บรุนแรงได้

2.ใช้กับดักหนูแบบดั้งเดิม หนูจะถูกจัดการอย่างรวดเร็ว และคุณสามารถโยนกับดักทิ้งไปพร้อมๆ หนูได้เลย ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกมาก ถึงแม้ว่าจะดูโหดร้ายสักหน่อย แต่ก็สามารถฆ่าหนูได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องกังวล เพราะปลอดภัยกว่ายาพิษ หากว่าคุณมีเด็กเล็กหรือว่าสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วย ประโยชน์อีกอย่างคือ หนูที่กำลังจะตายไม่สามารถคลานไปยังผนังก่อนตาย อันเป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่จะติดอยู่เป็นอาทิตย์

  • กับดักแบบนี้เป็นอันตรายเล็กน้อยต่อคนและสัตว์เลี้ยง แต่อย่างไรก็ตามมันสามารถจัดการสภาพที่ยุ่งยากน่าเกลียดเวลาจับและฆ่าหนูได้

3.กำจัดโดยใช้น้ำมันเปปเปอร์มินต์เป็นตัวไล่ นำสำลีจุ่มน้ำมันสกัดเปปเปอร์มินต์เข้มข้นให้ชุ่ม และวางสำลีที่จุดที่หนูชอบมาบ่อยๆ ในบ้านของคุณ มีรายงานว่าหนูเกลียดกลิ่นจากน้ำมันเปปเปอร์มินต์ น้ำมันเปปเปอร์มินต์ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นสารขับไล่ที่หนูจะพยายามหลีกเลี่ยงมัน

4.ลองใช้ปัสสาวะแมว และมูลงูดู อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ได้ผลแน่นอน โดยธรรมชาติหนูจะกลัวทั้งแมวและงู ฉะนั้นมันจึงเป็นธรรมชาติที่อุจจาระของพวกมันจะส่งความหวาดกลัวไปยังใจดวงน้อยๆ ของหนูได้

  • วางกระบะทรายในจุดที่หนูชอบมาบ่อยๆ ของบ้านคุณ พยายามให้แมวใช้มัน เพราะกระบะทรายที่ปราศจากปัสสาวะจะไม่ได้ผลเท่าไร
  • ไปร้านสัตว์เลี้ยง และถามหามูลงูจากเจ้าของร้าน เขาหรือเธออาจไม่ให้ แต่ถ้าหากคุณถามอย่างสุภาพ คุณอาจจะได้สร้างความสัมพันธ์เพื่อการขอยืมในอนาคต เจ้าของร้านคงจะมีความสุขมากที่คุณจัดการมูลงูแทนเขา

5.ลองใช้เครื่องไล่ด้วยความถี่เสียง เครื่องไล่หนูด้วยความถี่เสียงจะส่งเสียงเตือนให้หนูรำคาญและกลัว และยังปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยงอื่นๆ อย่างแมว และสุนัขด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีการโต้เถียงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องมืออยู่ดี[1]ผู้เชี่ยวชาญบางท่านโต้แย้งว่าหนูจะเคยชินกับเสียงเตือนเมื่อผ่านไปไม่นาน ทำให้อุปกรณ์มีผลแค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ขั้นตอนที่ 3 การกำจัดด้วยวิธีทางเคมี

1.ใช้กับดักไฟฟ้า กับดักไฟฟ้า จะทำงานโดยการดึงดูดหนูให้เข้ามายังกับดัก จากนั้นก็จำกัดพวกมันด้วยการช็อตไฟฟ้ากำลังสูงผลเสียของกับดักชนิดนี้คือ พวกมันมีราคาแพง (ราคาถึง 1,300 บาท) และใช้พลังงานหมดอย่างรวดเร็ว (แบตเตอรี่ไม่ได้แพงไปด้วย)

2.ใช้ถาดกาว ถาดกาวสามารถจับหนูได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ค่อยนิยมเท่ากับวิธีแบบอื่น เพราะทำให้หนูตายจากความเครียดและการอดอาหาร และยังอาจจับเอาสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์อื่นด้วย

3.ปรึกษานักกำจัดหนู นักกำจัดหนูสามารถวางแผนหาวิธีการกำจัดหนูด้วยวิธีธรรมชาติและเคมี โดยเฉพาะถ้าหากปัญหาหนูของคุณเข้าขั้นการรุกล้ำที่รุนแรง (ไม่ใช่แค่หนูสักคู่หลงเข้ามารบกวนคุณเป็นครั้งคราว) นักกำจัดหนูจะสามารถจัดการได้ประสิทธิภาพมากกว่าวิธีแบบบ้านๆ

4.ใช้ยาเบื่อหนูเป็นทางเลือกสุดท้าย หนูก็ต้องกินอาหาร ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถซื้อสารที่เป็นพิษต่อหนู และยาเบื่อหนูที่ร้านอุปกรณ์ครัวเรือน เมื่อหนูกินเข้าไป พวกมันจะรู้สึกกระหายและออกไปข้างนอกเพื่อหาน้ำ

  • ย้อนไปก่อนปี 1990 สตริกนินเคยถูกนำมาใช้ อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 1990 ซิงค์ ฟอสไฟด์ ได้ถูกนำมาใช้แทน กลิ่นของยาเบื่อจะดึงดูดหนูบ้าน และหนูหริ่ง แต่ไล่สัตว์ชนิดอื่นๆ
  • ยาจำนวนมากจะฆ่าหนูได้ในรอบเดียว แต่หนูที่รอดไปได้อาจจะมีวิวัฒนาการยับยั้งตัวยา
  • ข้อควรจำ ผลเสียของยาเบื่อหนูคือมันเป็นพิษต่อคน (มันจะชักนำให้เกิดอาการอาเจียน) คุณจะต้องมีวิธีจัดการหนูตายที่ติดกับดักในที่ที่เข้าถึงยาก ซึ่งอาจจะเป็นตัวดึงดูดให้หนูที่ไม่ได้รับเชิญตัวอื่นๆ

เคล็ดลับ

  • หนูชอบเนยถั่วมากๆ ควรลองใช้ล่อในกับดักดู
  • เก็บถุงอาหารสัตว์ถุงโตของคุณในภาชนะโลหะ
  • คุณสามารถสร้างกับดักที่เป็นมิตรกับหนูโดยการจับหนูที่ไม่ต้องฆ่าพวกมัน คุณสามารถเอาหนูไปปล่อยในป่าที่ไกลจากบ้านของคุณได้
  • ใช้น้ำมันพืชเพื่อปล่อยหนูออกจากถาดกาวอย่างทะนุถนอมปราศจากการบาดเจ็บ และปล่อยพวกมันเข้าไปในป่า

 

แหล่งข้อมูล  :  wikiHow

รูปภาพ :บ้านแสนรัก / oknation.nationtv.tv / wikiHow /Todoinfor.com /universemagic.com

มาตรวจสอบระบบไฟฟ้าหลังน้ำท่วมกันเถอะ

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ปัญหาที่ตามมาในหลายๆพื้นที่ก็คือน้ำท่วม ขณะ น้ำท่วม ทุกบ้านควรจะปิดวงจรไฟฟ้าหรือคัทเอ้าท์ทั่วทั้งบ้าน ทำให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าเดินในระบบ ซึ่งลดอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัย และแก้ปัญหาจากไฟฟ้าลัดวงจรได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อน้ำลดลงควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านของท่านดังนี้

วิธีตรวจสอบระบบไฟฟ้า : เปิด คัทเอ้าท์ให้มีกระแสไฟฟ้าเข้ามา ถ้าปลั๊กหรือจุดใดจุดหนึ่งในระบบยังเปียกชื้นอยู่ คัทเอ้าท์จะตัดไฟและฟิวส์จะขาดให้เปลี่ยนฟิวส์แล้วทิ้งไว้ 1 วันให้ความชื้นระเหยออกไปแล้วลองทำใหม่ หากยังเป็นเหมือนเดิมคงต้องตามช่างไฟมาแก้ไขดีกว่าเสี่ยงชีวิต

เมื่อทดสอบผ่านขั้นตอนแรกไปแล้ว ลองทดสอบเปิดไฟฟ้าทีละจุด และทดสอบกระแสไฟฟ้าในปลั๊กว่ามาปกติหรือไม่ด้วย ไขควงทดสอบไฟ หากทุกจุดทำงานได้ก็สบายใจได้ หากมีปัญหาอยู่ต้องรอให้ความชื้นระเหยออกก่อน ถ้ายังมีปัญหาก็คงต้องตามช่างมาแก้ไขหรือเปลี่ยนปลั๊ก/ สวิตช์เหล่านั้น

ลองดับไฟทุกจุดในบ้าน ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทั้งหมด แต่ยังเปิดคัทเอ้าท์ไว้ แล้ววิ่งไปดูมิเตอร์ไฟฟ้าหน้าบ้านว่าหมุนหรือไม่ หากไม่เคลื่อนไหวแสดงว่าไฟฟ้าในบ้านเราไม่น่าจะรั่ว แต่ถ้ามิเตอร์หมุนแสดงว่าไฟฟ้าในบ้านท่านอาจจะรั่วได้ ให้รีบตามช่างไฟมาดูแลโดยเร็ว

หากพอมีงบประมาณสำหรับปรับเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในบ้านของท่าน แนะนำให้ตัดปลั๊กไฟในระดับต่ำๆ ในบ้านชั้นล่างออกให้หมด (ถ้าคิดว่าน้ำท่วมอีกแน่ๆ ) แล้วปรับตำแหน่งปลั๊กไฟไปอยู่ที่ระดับประมาณ 1.10 เมตร หลังจากนั้นควรแยกวงจรไฟฟ้าออกเป็น 2-3 วงจร คือ

1.วงจรไฟฟ้าสำหรับบ้านชั้นล่าง (ที่น้ำอาจท่วมถึง)
2. วงจรไฟฟ้าสำหรับบ้านชั้นบนขึ้นไป (ที่น้ำท่วมไม่ถึง)
3. วงจรสำหรับเครื่องปรับอากาศ การกระทำดังกล่าวจะทำให้ท่านควบคุมการเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าในบ้านได้อย่างอิสระ และง่ายต่อการซ่อมแซมบำรุงรักษา

5ทริค กำจัดกลิ่นควันออกจากบ้าน

“กลิ่นควัน” ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกลิ่นควันจากการเผาไหม้ จากควันรถ หรือแม้แต่ควันบุหรี่ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำให้น่าลำคานใจอย่างมาก วันนี้เราจึงมานำเสนอเรื่อง “5 ทริค กำจัดกลิ่นควันออกจากบ้าน” มาฝากกัน

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมดับกลิ่นในบ้าน

  1. กำจัดทุกแหล่งที่ทำให้เกิดกลิ่นควัน กำจัดก้นบุหรี่ ก้นซิการ์ ที่เขี่ยบุหรี่ ฯลฯ จากในบ้านและบริเวณด้านนอก การปล่อยให้มีของแบบนี้อยู่ในบ้านก็จะยิ่งเป็นการซึมซับกลิ่นของควันต่อไปเรื่อยๆ ให้ทิ้งของเหล่านี้หลังจากที่ไฟมันดับไปแล้ว โดยทิ้งในถุงพลาสติกแล้วผูกปากถุงให้แน่นก่อนจะเอาไปทิ้งที่ถังขยะด้านนอกอีกทีหนึ่ง
  2. เปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมดเพื่อระบายอากาศออกไปด้านนอก ทำบ่อยๆ ขณะที่กำลังทำความสะอาดหรือกำลังกำจัดกลิ่นให้บ้านอยู่
  3. ซื้อผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่น ผลิตภัณฑ์บางตัวก็โฆษณาว่าตัวเองมีฤทธิ์ในการควบคุมหรือกำจัดกลิ่นได้ อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคือคุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ทำความสะอาดรวมอยู่ได้ พวกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดับกลิ่นได้นั้นไม่สามารถกำจัดกลิ่นควันได้หรอก ให้ลองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสิ่งต่อไปนี้ดูจะดีกว่า

ขั้นตอนที่ 2 กำจัดกลิ่นออกจากพรม เสื้อผ้า และผ้าลินิน

  1. รวบรวมเสื้อผ้า ผ้านวม หมอน และผ้าม่าน ทุกอย่างที่เป็นผ้าหรือลินินและสามารถซักได้ ก็ควรนำมารวมกันในกองที่จะซัก
  2. สำรวจพรม ถ้ามันสกปรกมากๆ และมีกลิ่นควันแรงจริงๆ ก็เปลี่ยนมันซะ แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็ทำความสะอาด
  3. โรยเบกกิ้งโซดาใส่เฟอร์นิเจอร์ที่มีผ้าหุ้มและพรม หรือจะใช้สารเคมีทำความสะอาดที่เข้มข้น ผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญมักจะใช้ช่วยดับกลิ่นในบ้านหลังจากถูกไฟไหม้นั่นเอง

 

ขั้นตอนที่ 3 กำจัดกลิ่นควันออกจากบริเวณพื้นผิวอื่นๆ ภายในบ้าน

  1. ใช้น้ำส้มสายชูหรือน้ำยาฟอกขาวเจือจางในการทำความสะอาดผิวที่ไม่ใช่ผ้า น้ำยาฟอกขาว และยิ่งน้ำส้มสายชูนั้น สามารถแตกน้ำมันทาร์และเรซินในควันบุหรี่ได้ดีเชียวล่ะ กลิ่นของน้ำยาฟอกขาวกับน้ำส้มสายชูอาจออกมาในตอนแรก แต่เดี๋ยวเวลาผ่านไปมันก็จะหายไปเอง ไม่เหมือนกับกลิ่นควันที่จะติดอยู่ไปตลอด
  2. ล้างพื้น ฝ้าผนัง กรอบหน้าต่าง กำแพง และอุปกรณ์อื่นๆ
  3. เช็ดเฟอร์นิเจอร์ไม้ พลาสติก และโลหะและข้าวของเครื่องใช้ด้วยน้ำส้มสายชูใส เทน้ำส้มสายชูใสลงในขวดสเปรย์และเช็ดมันให้สะอาดด้วยผ้า จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาดและใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง ถ้าหากว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นค่อนข้างจะบอบบาง

4. ดูดฝุ่นหรือล้างพวกของเล็กๆ น้อยๆ เช็ดมันหรือล้างมันด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือจะเอาออกไปไว้ด้านนอกจนกว่าจะทำความสะอาดและดับกลิ่นบ้านได้ทั้งหมดแล้วก็

 

ขั้นที่ 4 ทาสีกำแพงใหม่

  1. ล้างกำแพง คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์หรือสารละลายทำความสะอาดหลายๆ ตัวในการล้างกำแพงและกำจัดฝุ่น คราบมัน รวมถึงกลิ่นออกได้
  2. ใช้สีรองพื้นแบบดับกลิ่นกับกำแพงที่ล้างแล้ว พวกผลิตภัณฑ์อย่างยี่ห้อ Zinsser Bullseye และ Kilz ถือเป็นสิ่งสำคัญในการนำมาดับกลิ่นที่ติดอยู่เป็นเวลานานเลยล่ะ เพียงแค่ทาสีใหม่ไม่ทำให้กลิ่นหายไปหรอก และมันยังเป็นการกักกลิ่นเอาไว้ในสีอีกด้วย
  3. พิจารณาในการทาสีใหม่ในส่วนอื่นๆ ของบ้าน ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ มีกลิ่นควัน คุณก็สามารถล้างมัน ทาสีรองพื้นใหม่ และทาสีเพื่อกำจัดกลิ่นไปก็ได้

ขั้นที่ 5 ปรับกลิ่นในอากาศ

  1. เปลี่ยนอุปกรณ์กรองอากาศ กรองเตา และกรองแอร์ อากาศที่พัดในบ้านอาจยังมีกลิ่นควันอยู่ ฉะนั้นให้เปลี่ยนอุปกรณ์กรองอากาศต่างๆ ทั้งหมดเพื่อชำระอากาศให้สะอาด และทำให้อากาศในบ้านบริสุทธิ์
  2. ซื้อเครื่องฟอกอากาศ คุณสามารถเลือกว่าจะซื้อเครื่องฟอกอากาศมาติดตั้งกับระบบที่กรองอากาศเข้าบ้านเลย หรือจะซื้อแบบที่ฟอกอากาศในห้องๆ หนึ่งก็ได้ โดยให้คำนึงถึงขนาดของห้องและบ้าน และซื้ออุปกรณ์ให้ได้ขนาดและความคงทนเหมาะกับพื้นที่ที่ใช้
  3. วางชามที่มีถ่านกัมมันต์เอาไว้รอบบ้าน ถ่านกัมมันต์สามารถใช้ดูดซับกลิ่นได้ ให้วางชามที่ใส่ถ่านเอาไว้ในบ้านบริเวณที่อากาศไม่ไหลเวียน อย่างห้องที่ไม่มีหน้าต่าง หรือตู้เก็บของ เมื่อเวลาผ่านไป ถ่านก็จะดูดกลิ่นเหล่านั้นเข้าไปนั่นเอง

 

แหล่งข้อมูล : naibann.com / wikihow.com

รูปภาพ : Marketeer/Twitter / Learning By Krudang – WordPress.com / foundationforearthscience.org/JEAB.com/ Tsood.com

4เคล็ด(ไม่)ลับ การทำความสะอาดบ้านให้น่าอยู่

1.การทำความสะอาด ความสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ้านน่าอยู่  การทำความสะอาด  ปัดกวาด  เช็ดถูเป็นประจำ  ทำให้เครื่องเรือนเครื่องใช้ปราศจากความสกปรกแม้แต่บริเวณบ้าน  รั้ว  สนาม  ทางเดินเข้าบ้านสะอาด  ร่มรื่น  ปราศจากขยะมูลฝอยต่าง ๆ

2.การสร้างความสะดวกสบาย จัดแบ่งพื้นที่บริเวณบ้านให้เกิดการใช้สอยที่เป็นสัดส่วน เดินไปมาสะดวกและมีแสงแดดส่องถึง  ระบายอากาศได้ดี  มีการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกไว้อย่างเหมาะสม  สะดวกในการหยิบใช้และการทำกิจกรรมต่าง ๆ

3.การตกแต่งให้สวยงาม นอกจากการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ให้เหมาะสมดังที่กล่าวในข้อที่ผ่านมา การจัดตกแต่งให้เป็นระเบียบ ไม่เกะกะ  การจัดวางสิ่งของให้เกิดความสมดุล  การใช้สี  การตกแต่งผ้าม่าน  เพื่อให้ดูสบายตาก็สามารถทำให้บ้านสวยงามน่าอยู่ยิ่งขึ้น

4.การจัดบ้านให้เกิดความปลอดภัย การจัดบ้านให้มีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่าง ๆ  เช่น  มีลูกกรงที่ระเบียงกันพลัดตกบันไดให้แข็งแรง  เก็บยา  สารเคมีให้พ้นจากมือเด็ก ทำความสะอาดบ้าน  บริเวณบ้านให้ปราศจากตะไคร่จับทำให้ลื่นในขณะทำกิจกรรม ปลูกบ้านห่างไกลจากสิ่งปฏิกูลและแหล่งแพร่เชื้อโรคหรือมีวิธีการป้องกันที่ถูกต้องเหมาะสม  ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี้ยงได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : beelievesourcing.co.th

5 ประโยชน์ของถ่าน ที่ไม่ได้มีไว้แค่ปิ้งย่าง

ประโยชน์ของถ่าน สามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้างนอกจากเป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้ม ตามไปชมและเอาไปใช้กันได้เลยค่ะ หลาย ๆ คนเลยคุ้นกับการใช้ ถ่าน หรือถ่านกัมมันต์ (Activated Charcoal) ไว้หุงต้มเพียงอย่างเดียว ทั้งที่จริงแล้วเจ้าก้อนสีดำเนี่ยสามารถทำไปทำอะไรได้อีกหลายอย่างเลย  ตามไปดูประโยชน์ของถ่านที่เรานำมาฝากในวันนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ

1. ช่วยดูดซับกลิ่น

ไม่ว่าจะเป็นลิ้นชัก ตู้เย็น ถังขยะ ห้องน้ำ หรือที่ไหน ๆ ในบ้าน หากถ้ามีกลิ่นเหม็นแล้วละก็ ให้นำถ่านสัก 2-3 ก้อน
ไปวางไว้ในจุดที่ต้องการ แล้วกลิ่นเหม็นก็ค่อย ๆ หายไป โดยรูพรุนเล็ก ๆ บนผิวของถ่านจะช่วยดูดซับสารเคมีที่มีกลิ่นประเภทไฮโดรคาร์บอนเอาไว้ เช่น กลิ่นบุหรี่ เป็นต้น

2. ป้องกันความชื้น


หากอากาศภายในบ้านถ่ายเทได้ไม่ดีพอ หรือมีช่องระบายลมเล็กเกินไป โดยเฉพาะห้องที่มีความชื้นสูงอย่างเช่น ห้องน้ำ ก็จะทำให้มีกลิ่นอับและเกิดเชื้อราตามมา แต่สามาถป้องกันไว้ก่อนได้ โดยนำผงซักฟอกมาผสมเบกกิ้งโซดาหรือน้ำส้มสายชูแล้วเช็ดพื้น ผนัง เพดานให้ทั่ว แล้วค่อยเอาถ่านมาวางทิ้งไว้ นอกจากนี้หากมีกล่องเก็บของ เช่น กล่องเก็บเครื่องมือช่าง เพียงแค่เอาถ่านก้อนเล็ก ๆ ไปใส่ไว้ ก็ช่วยลดความชื้นและป้องกันการเกิดสนิมได้เหมือนกัน

3. ปกปิดรอยขีดข่วน


ถ้าเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ๆ ละก็ บังเอิญมีรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ที่ยกไปให้ช่างซ่อมก็ไม่คุ้ม แต่ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก็ไม่น่าดูแล้วละก็ เอาถ่านมาถูเบา ๆ  ตรงจุดที่เป็นรอยหรือคราบสกปรกที่ลบไม่ออก เพียงเท่านี้เฟอร์นิเจอร์ที่เคยมีรอยตำหนิ ก็จะกลับมาสวยงามเหมือนเดิมแล้ว

4. ยืดอายุดอกไม้สด


ส่วนใหญ่ดอกไม้สดที่นำมาปักแจกันไว้ตกแต่งบ้าน มักจะอยู่ไม่ได้นานก็เหี่ยว แม้จะวางในห้องแอร์ก็ตาม ปัญหานี้แก้ไขง่ายมาก ๆ เลย  เพียงแค่ใส่ถ่านลงไปพร้อมน้ำประมาณ 1-2 ก้อน แถมยังทำให้น้ำใสและสะอาดอีกด้วย

5. บำรุงต้นไม้

สำหรับต้นไม้ปลูกในดิน ให้นำถ่านมาทุบเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วโรยลงไปรอบโคนต้นไม้ก่อนใช้ดินกลบอีกรอบ ก็จะช่วยรักษาความชื้นในดินและป้องกันการเกิดวัชพืชด้วย ส่วนต้นไม้ปลูกในกระถางนั้น ให้ใส่ถ่านรองก้นกระถางก่อนลงดินปลูกต้นไม้เอาไว้
ถ่านก็จะช่วยอุ้มน้ำเอาไว้ ไม่ให้น้ำระบายออกเร็วเกินไป แถมยังช่วยเพิ่มแร่ธาตุให้กับดินอีกด้วยล่ะ

ถ่าน นอกจากจะใช้ดับกลิ่นเหม็น กลิ่นอับ กลิ่นอื่น ๆ ที่เราไม่ชอบได้แล้วเนี่ย ยังช่วยป้องกันความชื้น คืนความใหม่ให้กับเฟอร์นิเจอร์
ทำให้ดอกไม้สดอยู่ได้นานขึ้น แถมยังใช้เป็นวัสดุปลูกต้นไม้ได้ด้วย เป็นของสารพัดประโยชน์จริง ๆ เลย

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Kapook